บทความที่ได้รับความนิยม


Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ขายชุดสังฆทาน’ รูปแบบใหม่ -ได้ใช้จริง

‘ขายชุดสังฆทาน’ รูปแบบใหม่ -ได้ใช้จริง













เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ“ขายเครื่องสังฆภัณฑ์” จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าพิจารณา ซึ่งก็ทำได้หลายรูปแบบและวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีมาแนะนำกันอีกแบบหนึ่ง.

นะริศธิ์ ชูศรี เป็นหัวเรือใหญ่ธุรกิจ “ชุดสังฆทานรูปแบบใหม่” ในชื่อ “สายธารบุญ”ปรับโฉมสังฆทานให้ใช้ประโยชน์ได้จริง โดยเจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ว่าเพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงชอบเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ

ทำให้สังเกตเห็นว่า คนที่ไปทำบุญถวายสังฆทานมักเลือกซื้อชุดสังฆทานที่เป็น ถังสีเหลืองๆซึ่งข้าวของเครื่องใช้ที่บรรจุอยู่ภายในนั้น มักใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ บางอย่างหมดอายุบางอย่างเป็นสิ่งไม่จำเป็น และบางอย่างไม่เหมาะสมกับพระภิกษุสงฆ์

ด้วยความคุ้นเคยกับพระสงฆ์ในวัด จึงสอบถามว่าของแบบไหนจำเป็นกับพระสงฆ์ของแบบไหนที่พระสงฆ์ใช้ได้ ไม่ขัดกับพระธรรมวินัย และก็กลายเป็นอาชีพ

“มีผู้ใหญ่ที่นับถือแนะนำด้วยว่า ให้ทำพวกข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับพระสงฆ์ เช่น ซองแว่นตา ซองช้อนส้อม เป็นต้น ให้ทำไปถวายพระ พระท่านชอบ คนที่เห็นก็ชม ผมก็เกิดปิ้งไอเดียจึงไปปรึกษากับ คุณวรรณา จันทร์อุดม หรือ ทนายจอย ซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำตรงนี้”

หลังจากนั้นก็เริ่มเดินหน้าสานต่อก่อเกิดขึ้นเป็นธุรกิจ มีการเชิญชวนบรรดาแม่บ้านในชุมชนมาร่วม
มาช่วยกันออกความเห็นและแบ่งงานกันทำตามความถนัด เป็นการเสริมรายได้จุนเจือครอบครัว
ซึ่งเมื่อมีทีมงานเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปคือหาวัตถุดิบ ประเภทผ้าเพื่อนำมาตัดเย็บเป็นของใช้จำเป็นสำหรับพระภิกษุ โดยรูปแบบจะเน้นความเรียบง่ายเป็นหลักเพราะการทำของใช้เกี่ยวกับพระถ้าทำให้เหมือนของใช้ทั่วไปจะไม่เหมาะ

“ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันกว่าจะมาลงตัวที่ชุดสังฆทานปัจจุบัน ที่ผมให้คำจำกัดความเพื่อให้ลูกค้าจำง่ายคือสังฆทานอินเทรนด์ สังฆทานรูปแบบใหม่ ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีการนำเครื่องบริโภคมาบรรจุไว้เลย
แต่เป็นการรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ โดย ชุดสังฆทานอเนกประสงค์ จะประกอบด้วย กระเป๋าอเนกประสงค์,ซองใส่ช้อนและส้อม, ซองใส่แว่นตา, ผ้ารับประเคน, ผ้าเช็ดปาก, ดอกบัวทอง 3 ดอก
ซึ่งทุกชิ้นจะมีกี่ถักไหมเป็นรูปธรรมจักรประดับไว้ เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงศาสนาพุทธ”

นะริศธิ์บอกอีกว่า ตอนจะผลิตออกมาก็มีความกังวลเรื่องพระวินัยสงฆ์ หรือขนบประเพณีเกรงว่าจะทำให้พระท่านเกิดกิเลสหรือเปล่า เลยต้องใช้ความระมัดระวังมาก ทั้งรูปแบบและสีซึ่งผ้าที่นำมาใช้เป็นผ้าคอตตอน 100 เปอร์เซ็นต์ สีเดียวกับจีวร แต่ใช้สีที่เป็นกลาง ๆ ไม่เน้นว่าเป็นพระสายใดสายหนึ่ง

ขั้นตอนการผลิต ก็จะให้คนในชุมชนเป็นผู้เย็บให้โดยในช่วงแรกก็เกิดปัญหาบ้างเรื่องสีของผ้าที่นำมาเย็บ เพราะผ้าแต่ละลอตจะมีโทนสีที่แตกต่างกันในขณะที่ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำไม่ได้สีของผ้าตามที่ต้องการ ตามที่เคยซื้อไปจึงแก้ปัญหาด้วยการสั่งให้ทางโรงงานย้อมผ้าให้โดยเฉพาะ เพื่อให้ได้สีผ้าที่สม่ำเสมอ

ตอนที่เริ่มต้นนั้น ลงทุนไม่มาก แค่หลักพัน เพราะยังไม่ทราบว่าจะขายได้มากน้อยแค่ไหนจึงซื้อเศษผ้าปลายไม้มาราว 30 เมตร จากย่านพาหุรัด มาให้กลุ่มแม่บ้านทดลองทำกันดู ก็ตัดกันกระจุยกระจายเย็บออกมาแล้วเบี้ยวบ้าง ใหญ่-เล็กเกินไปบ้าง ต้องใช้เวลานานกว่า 3 เดือน ผลงานที่น่าพอใจจึงออกมาซึ่งปัจจุบันการตัดเย็บจะพิถีพิถันและละเอียดเป็นพิเศษ มีการตรวจคุณภาพทุกชิ้น วัตถุดิบที่ใช้ก็แข็งแรงทนทาน

ขั้นตอนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากระบวนการผลิต คือ การตลาด โดยสังฆภัณฑ์รูปแบบใหม่นี้ระแยะแรกนำไปขายตามหน้าวัดในละแวก ไม่นานผลงานก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นมีคนมารับไปขายต่อ โดยราคาขายชุดสังฆทานคือชุดละ 290 บาทนอกจากนี้ ยังมีการผลิต หมอนอิง, หมอนนอน, อาสนะ, ย่าม, สบง รวมถึง ชุดปฏิบัติธรรม ของแม่ชี และฆราวาสทั่วไป

ปัจจุบันธุรกิจรายนี้ไม่ต้องมีหน้าร้านจำหน่าย เน้นการออกบูธตามสถานที่ราชการ โรงพยาบาล ย่านออฟฟิศและตอนนี้ก็มีเครือข่าย 10 จังหวัดแล้วโดยนะริศธิ์บอกว่าธุรกิจนี้กำไรก็แค่พออยู่ได้ เต็มที่ไม่เกิน 30-40% จากราคาขายแม่บ้านในชุมชนที่มาร่วมกันทำราว 30 คน แต่ละคนก็จะมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 8,000-9,000 บาทและจะมีการกันรายได้ส่วนหนึ่งเอาไปทำบุญ พิมพ์หนังสือธรรมะแจก

ชุดสังฆทาน-สังฆภัณฑ์รูปแบบใหม่ “สายธารบุญ” นี้ ทำกันอยู่ที่ ชุมชนอมรพันธ์ ถนนเลียบคูนายกิม ซอย 13แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ใครสนใจต้องการสั่งซื้อไปใช้ทำบุญ หรือนำไปจำหน่ายต่อ
ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-0453-5639 นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของอาชีพ หรือธุรกิจขายเครื่องสังฆภัณฑ์ที่น่าสนใจ.


เชาวลี ชุมขำ : รายงาน
ที่มา : http://www.dailynews.co.th

Read More...


สบู่เหลว สมุนไพรใช้ประจำทำขายสบาย

สบู่เหลว สมุนไพรใช้ประจำทำขายสบาย














เครื่องอุปโภคที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำทุกวันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวกับการทำความสะอาดของร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็น สบู่-ใช้ชำระล้างร่างกาย, แชมพู-ไว้สระผม, ผงซักฟอก-ซักผ้า, น้ำยาล้างจาน เป็นต้น

ดังนั้นตลาดของสินค้าประเภทนี้จึงไม่มีวันตาย
เพราะมีความจำเป็นจะต้องใช้กันทุกวัน ทุกคน และทุกครัวเรือนนั่นเอง
หากคุณแม่บ้านสามารถทำไว้เพื่อใช้ในครัวเรือนได้เอง นอกจากจะเป็นการประหยัดแล้ว
ยังสามารถนำไปจำหน่ายให้กับเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย

ขณะนี้มีการนำสมุนไพรมาเป็นส่วนผสม เพื่อเป็นการส่งเสริมสินค้าเกษตรกรรม
รวมทั้งเป็นการนำของพื้นบ้านเรามาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น

สมัยโบราณนั้น ใช้ขี้เถ้า ขี้ผึ้ง มาชำระคราบไคลจากร่างกาย ก่อนที่จะมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจนเป็น สบู่ก้อน
ซึ่งเวลาจะใช้ต้องนำก้อนสบู่มาถูกับน้ำให้เกิดฟอง แล้วจึงจะนำมาทำความสะอาดร่างกายได้
จากนั้นจึงพัฒนาต่อจนเป็น สบู่เหลว

สบู่เหลว หรือ ครีมอาบน้ำ ถือกำเนิดมาเมื่อ 10 กว่าปีนี่เอง ซึ่งเป็นความสะดวกสบายของผู้ใช้
ที่เทครีมแล้วใส่น้ำเล็กน้อย ลูบไล้ไปทั่วตัว เท่านี้ก็จะเกิดฟองทำหน้าที่ชำระสิ่งสกปรกได้เหมือนสบู่ก้อน
ใช่แล้วค่ะ! วันนี้จะพาคุณแม่บ้าน-พ่อเรือนไปทดลองทำ สบู่เหลว กัน โดยผู้ใหญ่หวานคนเดิม
ที่เคยให้ข้อมูลเรื่องการทำ ลอดช่องสิงคโปร์กึ่งสำเร็จรูป กับคอลัมน์ฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง
คราวนี้ผู้ใหญ่หวานบอก ว่ายินดีให้ข้อมูลและเปิดสอนฟรีอีกด้วย

ไม่ต้องรอช้ามาเตรียมอุปกรณ์กันก่อนเลย
มีกะละมัง-ถังพลาสติก, ไม้พายไม้, เตาแก๊ส, หม้อสำหรับต้มน้ำ, ผ้าขาวบาง, เครื่องบดอาหาร, กรวยพลาสติก

ส่วนผสม มีดังนี้
ไทรเอทาโนลามีนลอรัลซัลเฟต (หัวสบู่เหลว) 5 กก.,
โซเดียมลอรัลอีเธอร์ซัลเฟต (N8000) 1 กก.,
โซเดียมลอรัลซัลเฟต (ผงฟอง) 200 กรัม,
โซเดียมคลอไรด์ (ผงข้น) 2 ปอนด์,
หัวน้ำหอม(กลิ่นตามชอบ) 2 ออนซ์,
ขมิ้นสด 1 กก. หรือแตงกวา 4 กก. หรือมะขามเปียก 1.5 กก.
น้ำกลั่น 12 ลิตรและสีผสมอาหารเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้หาซื้อได้ที่ สี่แยกวัดตึก กรุงเทพฯ ราคาไม่รวมสมุนไพรตก 700-900 บาท

วิธีการเตรียม
ขมิ้นชัน
ล้างน้ำให้สะอาดปอกเปลือก แล้วบดให้ละเอียด ขณะที่บดนั้นใส่น้ำลงไปด้วย 1-2 ลิตร จะได้ละเอียดดี
นำมาผสมน้ำอีก 2 ลิตร แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
นำน้ำที่ได้ไปต้มกับน้ำกลั่นอีก 5 ลิตร ต้มให้เดือดนำมากรองอีกครั้ง ตั้งพักไว้ให้เย็น

แตงกวา
ล้าง-หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นผสมน้ำสัก 1-2 ลิตรให้ละเอียด ผสมกับน้ำอีก 2 ลิตร แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
นำน้ำแตงกวาที่ได้ไปต้มกับน้ำอีก 5 ลิตรให้เดือด แล้วยกลงมา กรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง ตั้งพักไว้ให้เย็น

มะขามเปียก
ต้องใช้มะขามที่ไม่มีเมล็ดและแกะสาแหรกออกเรียบร้อยแล้ว ต้มกับน้ำ 5 ลิตร คั้นเอาแต่น้ำมะขาม
กรองด้วยผ้าขาวบาง นำไปต้มกับน้ำอีก 5 ลิตร แล้วยกลงมากรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง ตั้งพักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนต่อไป ให้นำผงฟองมาผสมกับน้ำ 2 ลิตรในถังพลาสติก ใช้ไม้พายไม้คนให้ละลาย
นำน้ำที่เหลือใส่ลงไปผสมลงไปให้หมด แล้วค่อยๆ ใส่หัวสบู่, N8000, น้ำหอม และน้ำสมุนไพรที่ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นดีแล้ว

หากเป็นสูตรขมิ้นก็ใช้แต่น้ำขมิ้น สูตรแตงกวาก็ใช้น้ำแตงกวา สูตรมะขามเปียกก็ใช้น้ำมะขามเปียกที่เตรียมไว้
ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ห้ามนำมาผสมรวมกัน

แล้วจึงใช้ไม้พายกวนไปในทางเดียวกันให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงค่อยๆ ใส่ผงข้น
หากเป็นสูตรแตงกวาให้ใช้สีเขียวอ่อนสัก 1-2 ฝา ผสมน้ำเล็กน้อยก่อนใส่ลงไป
สูตรขมิ้นนั้นไม่ต้องใส่สีเพราะสีขมิ้นสวยอยู่แล้ว
สูตรมะขามเปียกใช้สีน้ำตาลอ่อน 1-2 ฝาผสมน้ำก่อนใส่ลงไปเช่นกัน

แล้วจึงกวนต่อ ที่ต้องกวนไปทางเดียวกันนั้นเพราะว่าการกวนไปมาจะเกิดฟอง ทำให้กวนลำบาก
และไม่ทราบว่าเข้ากันดีหรือยัง กวนไปทางเดียวกันจะทำให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดี เนื้อเนียนเสมอกันเร็วกว่า
ทั้งหมดนี้ใช้เวลากวนประมาณ 1 ชม. แต่จะต้องทิ้งไว้ 1 คืนเพื่อให้หมดฟอง วันรุ่งขึ้นจึงจะนำมาบรรจุขวดได้

ตามสูตรนี้จะได้สบู่เหลว มะขามเปียก 20 ลิตร แตงกวา 22 ลิตร ขมิ้น 19 ลิตร
แบ่งบรรจุขวดละ 400 ซีซี ต้นทุนรวมค่าแรง ค่าขวด ค่าฉลาก ตกขวดละ 25 บาท ขายส่ง 27 บาท ขายปลีก 35 บาท

จะเห็นได้ว่าตามส่วนผสมนี้ผู้ใหญ่หวานไม่ใส่สารกันบูดเลย ครีมอาบน้ำที่ทำสำเร็จแล้วจึงมีอายุอยู่ได้ 3-6 เดือน
แต่ถ้าใครจะใส่ก็ใส่ไปตอนที่ต้มสมุนไพร แต่ไม่แนะนำให้ใช้
เพราะการใช้สารเคมีนั้น จะต้องมีความรู้เรื่องวิธีการใช้ว่าต้องใช้ปริมาณเท่าใด แบบไหนจึงจะไม่เป็นอันตราย
ดังนั้นเมื่อเราไม่มีความรู้ก็ไม่ต้องใช้เลยจะดีกว่า** ?

คุณแม่บ้านพ่อเรือนสามารถนำสูตรนี้ไปทดลองทำกันได้เลย
หากคิดว่าทำไว้ใช้เอง ก็สามารถลดส่วนผสมลงตามอัตราส่วน
ทดลองลงมือทำกันดูก่อน เมื่อติดขัดแล้วจึงค่อยสอบถาม จะได้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
หากว่ายังไม่ลงมือทำ มัวแต่สงสัยก็ยังคงมีความสงสัยอยู่ร่ำไป** ?

ลงมือปฏิบัติกันก่อนเถอะค่ะ!** เมื่อสงสัยก็ถาม** นำไปปฏิบัติต่อจะได้ความกระจ่าง
ติดต่อ ผู้ใหญ่หวาน กัญญา ตระกูลชีวพานิตต์ ได้ที่กลุ่มแม่บ้านสายบัว หมู่ 5 แขวงและเขตคันนายาว กรุงเทพฯ
โทร. (02) 517-2519, (01) 319-7292

ขณะนี้ได้ทำการเปิดสอนฟรีตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน.

--จบ--


จาก คอลัมน์ช่องทางทำกิน เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 25 ต.ค. 2543
ที่มาข้อมูล : http://library.dip.go.th
ภาพประกอบจาก : http://www.fotosearch.com

Read More...


ยางรัดผมติดตุ๊กตา แฮนด์เมดทุนต่ำ-ทำไม่ยาก

ยางรัดผมติดตุ๊กตา แฮนด์เมดทุนต่ำ-ทำไม่ยาก-1
ยางรัดผมติดตุ๊กตา แฮนด์เมดทุนต่ำ-ทำไม่ยาก







งานแฮนด์เมด” งานประดิษฐ์ทำมือ เป็นงานที่ต่อยอดได้เรื่อยๆ
ถ้าผู้ทำมีไอเดียสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดดัดแปลงชิ้นงานเป็นรูปแบบต่างๆ ได้หลากหลาย
ก็จะขายได้ เรื่อยๆ ไปตลอด อย่างเช่นชิ้นงาน “ยางรัดผมติดตุ๊กตา”
ที่ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้ นี่ก็สร้างรายได้ให้ผู้ที่ทำขายได้อย่างดี...

พรรณภา อิฐผลประเสริฐ นำผ้ามาตัดเย็บทำเป็นตุ๊กตา แล้วนำไปติดกับยางรัดผม
จนเป็นผลงาน ยางรัดผมแฮนด์เมด ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเธอได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเจ้าของผลงานตอนนี้ยังศึกษา ในระดับปริญญาตรี อยู่ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
เจ้าตัวเล่าว่า ทำงาน ประดิษฐ์งานแฮนด์เมด “ยางรัดผมติดตุ๊กตา” ขายมา 2 ปีแล้ว
ที่บ้านเปิดร้านขายของอยู่ที่ย่านสำเพ็ง และตนนั้นก็เป็นคนที่ชอบงานประดิษฐ์-งานแฮนด์เมดอยู่แล้ว
โดยส่วนใหญ่ก็จะประดิษฐ์ของใช้ต่างๆ พวกกระเป๋า พวงกุญแจ ยางรัดผม อยากจะทำอะไรก็ทำ
สมัยก่อนส่วนใหญ่จะทำเล่นๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร หรือบางอย่างก็ทำไว้ใช้เอง

หลังจากได้ทำยางรัดผมมาใช้ เพื่อนๆ ก็ชอบ เห็นว่าน่ารัก นอกจากรัดผมแล้วยังสามารถรัดเข็มขัดนักศึกษาได้อีกด้วย
เพื่อนๆ ก็เลยยุให้ทำขาย ก็มาคิดว่าไหนๆ ก็ชอบทำงานประดิษฐ์อยู่แล้ว ก็ควรที่จะทำให้เกิดประโยชน์
จึงมีความคิดที่จะลองทำงานประดิษฐ์ขายเพื่อเป็นการหารายได้

เมื่อมีความคิดที่จะทำงานประดิษฐ์ขายอย่างจริงจัง ก็มานั่งคิดว่าจะทำงานอะไรดี ก็มาลงตัวที่จะทำยางรัดผมขาย
เพราะเห็นว่าเป็นงานที่นอกจากใช้รัดผมได้แล้ว ยังสามารถรัดเข็มขัดได้อีก มีประโยชน์ใช้สอยเยอะ
ขายเพื่อนๆ นักศึกษาได้ นอกจากนั้นยังเป็นงานที่มีคนทำไม่มาก และขายได้ทั้งเด็กผู้ใหญ่

จึงลงทุนทำยางรัดผมขาย อย่างจริงจัง

ชิ้นงานส่วนใหญ่จะทำเป็นตุ๊กตารูปสัตว์ เน้นแนวน่ารัก หรือไม่ก็ออกแนวแปลกๆ ไปเลย
เพราะจะเป็นงานที่ขายง่าย ตอนแรกนั้นเริ่มจากทำออกมาแค่ 60 ตัว แล้วก็ไปวางขายที่ร้านพ่อที่สำเพ็ง
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ไปวางขายไม่นานก็ขายได้หมด

พรรณภาบอกต่อว่า “สำหรับผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตานั้น จะเลือกมาทำแบบหลากหลาย
ส่วนใหญ่ลูกค้าคนไทยมักจะชอบผ้าลายดอก ถ้าเป็นลูกค้าต่างประเทศมักจะชอบผ้าเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด
ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะชอบแบบที่มีสีสันสดใส”
ยางรัดผมติดตุ๊กตา แฮนด์เมดทุนต่ำ-ทำไม่ยาก-2















วัสดุอุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ก็มี... ผ้า, ใยโพลี (แบบไม่มีฝุ่น), เข็ม, ด้าย, กระดุมสีต่างๆ, ยางรัดผม,
กาวซิลิโคน, ตะเกียบ, กระดาษแข็ง, ดินสอ เป็นต้น

ผ้าที่ใช้ก็จะมีผ้าไนลอน ผ้าดิสโก้ ผ้าสักหลาดแบบขนเรียบ อุปกรณ์ส่วนใหญ่หาซื้อได้ที่สำเพ็ง

ขั้นตอนการทำ...
เริ่มจากการวาดออกแบบตุ๊กตาที่ต้องการลงบนกระดาษ ทำการวาดรายละเอียดของตุ๊กตาที่จะทำให้เรียบร้อย
ไม่ว่าจะเป็น ตา ปาก คิ้ว เมื่อออกแบบเสร็จก็ใช้กรรไกรตัดตามแบบที่วาดไว้
จากนั้นก็นำแบบไปวางทาบลงบนกระดาษแข็ง ใช้ดินสอร่างแบบให้เรียบร้อย ทำการตัดกระดาษแข็งตามรอยดินสอ
ก็จะได้เป็นแพทเทิร์น จากนั้นก็นำแพทเทิร์นที่เป็นกระดาษแข็งไปวางทาบลงบนผ้า เลือกลวดลายผ้าตามต้องการ
ใช้ดินสอวาดตามแบบให้เรียบร้อย จากนั้นตัดผ้าตามแบบ 2 ชิ้น
(การตัดนั้นให้เว้นห่างจากรอยดินสอที่วาดไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับเย็บ)

เมื่อได้ผ้าที่ตัดมาแล้วก็นำผ้ามาประกบเข้าด้วยกัน เย็บตามแนวดินสอที่ขีดไว้ด้วยวิธีการด้นถอยหลัง
ซึ่งจะต้องใช้ความประณีต ละเอียดในการเย็บ ระยะการเย็บต้องมีความถี่เท่ากัน
(เพราะเวลากลับผ้าแล้วยัดใยโพลีตะเข็บจะไม่ปริแตก ใยโพลีที่ยัดเข้าไปไม่ปลิ้นออกมา)
เย็บโดยให้เหลือช่องว่างไว้สำหรับยัดใยโพลีด้วย

หลังจากเย็บเรียบร้อยก็ทำการกลับผ้าให้ด้านในออกมาอยู่ด้านนอก จากนั้นก็นำใยโพลียัดใส่เข้าไปในช่องที่เว้นไว้
โดยใช้ตะเกียบเป็นตัวช่วยอัดให้ใยเข้าไปในส่วนที่เล็กของตุ๊กตา ยัดใยโพลีจนแน่นโดยใช้วิธีการกดที่ตัวตุ๊กตาดู
ถ้าแน่นแล้วก็พอจากนั้นก็ทำการเย็บปิดช่องที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย พยายาม เย็บไม่ให้เห็นด้าย

ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการตกแต่ง โดยใช้กระดุมที่มีสีสันต่าง ๆ เลือกตามที่ต้องการ ดูให้เข้ากับลายผ้า
ทำการเย็บติดเข้าไปเป็นตาของตุ๊กตาตามแบบที่ออกแบบไว้ จากนั้นก็ใช้ด้ายเย็บทำเป็นคิ้ว เป็นปาก
อาจจะใช้ดอกไม้เล็ก ๆ ตกแต่งเพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้ตามต้องการ
ตกแต่งเสร็จก็ตัดผ้าสักหลาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาติดไว้ที่ด้านหลังตุ๊กตา ยึดด้วยกาวซิลิโคน ให้แน่น
สุดท้ายก็นำยางรัดผมมาติดลงบนผ้าสักหลาด ยึดด้วยกาวซิลิโคนให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมขาย

ยางรัดผมติดตุ๊กตา งานแฮนด์เมดของพรรณภา มีหลากหลายแบบ และมีลายผ้าหลากหลายไว้ให้ลูกค้าได้เลือก
โดยราคาขายส่ง (สั่งตั้งแต่ 6 ชิ้นขึ้นไป) อยู่ที่ชิ้นละ 15 บาท มีต้นทุนประมาณ 10 บาท

*********

ชิ้นงานยางรัดผมแฮนด์เมดของพรรณภา ขายอยู่ที่ร้านยงโสภณพาณิชย์ ซอยวานิช 1 ตลาดสำเพ็ง
ใครต้องการติดต่อพรรณภา ก็ติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-6602-2995,08-3994-9429
ซึ่งงานแฮนด์เมดลักษณะนี้ สามารถดัดแปลงไปทำเป็นสินค้าอื่นได้อีกเยอะ เช่น ตุ๊กตา กระเป๋า
ก็อยู่ที่ไอเดียของผู้ทำขาย.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : เรื่อง-ภาพ
ที่มา : http://www.dailynews.co.th

Read More...


กรอบรูปสำเร็จรูป' งานดีไซน์ขายไอเดีย ยังดี

'กรอบรูปสำเร็จรูป' งานดีไซน์ขายไอเดีย ยังดี-1 'กรอบรูปสำเร็จรูป' งานดีไซน์ขายไอเดีย ยังดี-2

กรอบรูปสำเร็จรูป” ที่มีรูปภาพสวยๆ รูปแบบต่างๆ สำหรับตกแต่งอาคารบ้านเรือน ได้รับความนิยมมานานจนวันนี้
ซึ่งการทำขายเป็นอาชีพเป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ดีสำหรับคนมีไอเดีย และวันนี้ ณ ที่นี้ก็มีข้อมูลอาชีพ
การทำ-การขาย “กรอบรูปสำเร็จรูปแบบเคลือบฟิล์มเย็น” มานำเสนอให้ลองพิจารณา...

เอ๋-สปันทิพย์ เลิศเจริญวงษา ทำกรอบรูปสำเร็จรูปแบบเคลือบฟิล์มเย็นมา 2 ปี ผลิตงานขายอยู่ที่ตลาดนัดจตุจักร
ใช้ชื่อร้านว่า “ทองมา” ซึ่งเจ้าของผลงานเล่าว่า เดิมทีร้านจะเน้นขายงานเพนติ้ง ภาพเขียน
เพราะแฟนจบมาทางด้านศิลปะจากศิลปากร จึงเขียนภาพขายเป็นหลัก ซึ่งงานภาพเขียนจะเป็นงานที่มีราคาสูง
เพราะฉะนั้นจะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องมีกำลังซื้อสูงหน่อย

“ต่อมามองว่าคนส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับการแต่งบ้าน แต่งห้องกันมากขึ้น เราจึงขยายกลุ่มลูกค้าเพิ่ม
จึงทำกรอบรูปสำเร็จแบบเคลือบฟิล์มเย็นขาย เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ทำไม่ยาก
สามารถออกแบบดีไซน์งานได้หลายแนว ที่สำคัญราคาไม่สูงมาก กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างสามารถซื้อได้ไม่ยาก”

เอ๋กล่าวต่อว่า “แต่เนื่องจากกรอบรูปสำเร็จนั้น ถือว่ามีคู่แข่งทางด้านการตลาดอยู่มาก
เพราะฉะนั้นจึงจะต้องหาแนวที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง ให้แตกต่างไปจากงานที่มีอยู่ในตลาด
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นกรอบรูปที่ใช้ภาพถ่ายจริง จึงฉีกแนวไปโดยจะเป็นรูปที่ออกแบบขึ้นเอง
เน้นเป็นงานดีไซน์ ออกแนวโมเดิร์นร่วมสมัย และแนววินเทจ
ซึ่งจะดูตามเทรนด์การแต่งบ้าน และออกแบบงานใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือก”

การทำกรอบรูปสำเร็จนั้นเป็นงานที่ไม่ยากก็จริง แต่คนที่สนใจจะทำก็ควรจะมีความรู้พื้นฐานด้านศิลปะอยู่บ้าง
และนอกจากนี้ ความรู้ในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ก็น่าจะต้องมีบ้าง
เพราะจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบรูปต่างๆ

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลักๆ ก็มี... กรอบรูปสำเร็จขนาดต่างๆ, เครื่องเคลือบฟิล์ม,
ฟิล์มสำหรับเคลือบ, กระดาษกาวน้ำตาล, กระดาษกาวติดขอบสีดำ, กาวลาเท็กซ์, คัตเตอร์ เป็นต้น

สำหรับกรอบรูปสำเร็จนั้น สั่งจากร้านกรอบรูปทั่วไปได้ ซึ่งจะใช้เป็นกรอบที่ทำจากวัสดุไม้แบบเอ็มดีเอฟ (MDF)
เป็นกระดาษอัด ซึ่งจะมีคุณสมบัติเบาและมีความเรียบ
อยู่แล้ว เหมาะจะนำมาทำกรอบรูปสำเร็จ
ส่วนเครื่องเคลือบนั้นมีหลายขนาด พวกฟิล์มเคลือบ กระดาษกาว ก็หาซื้อได้จากร้านทำกรอบรูปทั่วไป

'กรอบรูปสำเร็จรูป' งานดีไซน์ขายไอเดีย ยังดี-3

ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากการออกแบบรูปภาพในคอมพิวเตอร์
จากนั้นก็นำภาพที่ออกแบบไปทำการอัดรูปที่ร้านถ่ายรูป นำภาพที่อัดมาทำการเคลือบฟิล์ม
โดยการเคลือบนั้น เริ่มจากทำการตัดฟิล์มให้มีขนาดใหญ่กว่าภาพเล็กน้อย
นำแผ่นฟิล์มที่ตัดไปเข้าเครื่องเคลือบฟิล์ม โดยใส่ปลายเข้าไปเล็กน้อยให้เครื่องหนีบฟิล์มไว้
จากนั้นก็นำรูปภาพวางสอดไว้ใต้ฟิล์ม
แล้วใช้มือทำการหมุนเครื่องเคลือบฟิล์ม (ลักษณะคล้ายเครื่องบดปลาหมึกย่าง) เท่านี้ก็จะได้รูปที่เคลือบฟิล์มเย็น

การเคลือบฟิล์มนั้นเป็นการทำให้รูปภาพกันน้ำ กันรอยขูดขีด ทำให้รูปมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น

เมื่อได้รูปภาพที่เคลือบฟิล์มแล้ว ก็นำมาติดลงบนกรอบรูปสำเร็จ โดยใช้กาวลาเท็กซ์ทาลงไปหลังรูปภาพให้ทั่ว
แล้วก็นำไปติดบนกรอบรูป เมื่อติดเข้ากับกรอบรูปแล้วก็ทำการรีดไล่อากาศและทำให้ติดแน่นขึ้น

กาวลาเท็กซ์ที่นำมาใช้นั้นควรจะผสมน้ำให้กาวมีความเหนียวกำลังดี
เพราะถ้าใช้กาวที่ข้นไปจะเป็นก้อน เวลาติดรูปภาพจะทำให้ไม่เรียบ

ขั้นต่อไปก็พักทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิท
แล้วจึงใช้คัตเตอร์ทำการตัดตกแต่งขอบ ให้รูปภาพเสมอกับขอบของกรอบรูปให้เรียบร้อย
แต่เน้นว่าต้องให้กาวแห้งสนิทก่อน เพราะถ้ากาวยังไม่แห้งแล้วไปตัดขอบ รูปภาพอาจจะเบี้ยวได้
หลังจากนั้นก็ใช้กระดาษกาวสีน้ำตาลทำการติดด้านหลังของกรอบรูป เพื่อปิดรอยต่อของกรอบรูปให้เรียบร้อย
แล้วจึงทำการติดขอบด้วยกระดาษกาวสีดำให้รอบ ทำการตัดตกแต่งให้เรียบร้อย
สุดท้ายก็ทำการติดหูสำหรับแขวน เท่านี้ก็เรียบร้อย

ทั้งนี้ กรอบรูปสำเร็จรูปแบบเคลือบฟิล์มเย็นของเอ๋-สปันทิพย์นั้นมีหลายแบบ หลายแนว
และมีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็ก กรอบ 6x8 นิ้ว ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มีหน้ากว้าง 24 นิ้ว
โดยราคาขายก็ตั้งแต่ 99-1,300 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของกรอบรูป

ร้านของเอ๋-สปันทิพย์อยู่ที่จตุจักรพลาซ่า โซน C ซอย 3 ห้อง 87 เบอร์โทรศัพท์คือ 08-9722-2811, 08-5102-6535
ผู้ที่สนใจงานด้านนี้ สนใจผลงานของเจ้าของงานรายนี้ ลองแวะไปดูกันได้.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

Read More...


กระถางต้นไม้จากขุยมะพร้าว ไอเดียลดโลกร้อน

กระถางที่ได้จากขุยมะพร้าว
กระถางที่ได้จากขุยมะพร้าว

เป็นที่ทราบกันดีว่า วัสดุที่ทำมาจากพลาสติกนั้น เป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก
และต้องใช้เวลาหลายสิบปีทีเดียวกว่าพลาสติกเหล่านี้จะย่อยสลาย
ที่สำคัญ พลาสติก ยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของโลกอยู่ในขณะนี้
หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างหันมาช่วยกันรณรงค์ ในเรื่องของการลดสภาวะโลกร้อนด้วยกันหลายวิธี
และวิธีลดการใช้พลาสติกก็เป็นอีกแนวทางในการรณรงค์ในเรื่องดังกล่าว

คณะคุรุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี
โดยนายพงศธร หนูเล็ก นายจิราณุวัฒน์ แสงมุกด์ และนายชินพันธุ์ แซ่ซิ้ม
ได้ร่วมกันคิดค้นวิธีการผลิตกระถางเพาะชำจากวัสดุทางการเกษตรขึ้น
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ในการลดการใช้กระถางพลาสติกลง
โดยมี ผศ.สุจิน สุนีย์ และ ผศ.ธีรเวท ฐิติกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

กระถางที่นำมาใช้งานระยะหนึ่งแล้ว
กระถางที่นำมาใช้งานระยะหนึ่งแล้ว

นายพงศธร กล่าวว่า เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครนายก และจังหวัดปราจีนบุรี
ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพเพาะชำกล้าไม้และพันธุ์พืชหลากหลายชนิด เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ผล
ซึ่งในการเพาะพันธุ์พืชเหล่านี้ ชาวสวนส่วนใหญ่จะเพาะชำกล้าไม้ลงในถุงเพาะชำ หรือกระถางเพาะชำ
ที่ทำมาจากพลาสติกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพลาสติกเหล่านี้เป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก
และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสภาวะโลกร้อน จากสาเหตุดังกล่าวจึงได้คิดหาวิธีนำวัสดุทางการเกษตร
มาผลิตกระถางเพาะชำ เพื่อทดแทนและลดการใช้กระถางถุงและถุงเพาะชำที่ทำมาจากพลาสติก

“ในการศึกษาครั้งนี้ คณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาและจัดสร้างกระถางจากเศษวัสดุทางการเกษตร
จำนวน 5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ กระถางที่ทำจากแกลบ กระถางที่ทำจากขี้เถ้าแกลบ และกระถางที่ทำจากขุยมะพร้าว
กระถางที่ทำจากเศษใบไม้และวัชพืชต่างๆ
ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า กระถางที่ทำจากขุยมะพร้าวมีความแข็งแรงและทนทานที่สุด” นายพงศธรกล่าว


นางปราณี สามเตี้ย เจ้าของสวนที่ได้ใช้กระถาง
นางปราณี สามเตี้ย เจ้าของสวนที่ได้ใช้กระถาง

นอกจากนี้ ผลจากการนำเอากระถางที่ทำจากขุยมะพร้าวไปใช้งานจริง
พบว่ามีความแข็งแรงและทนทานของกระถางอยู่ในระดับที่ดี มีความยืดหยุ่นสูง
รากของกิ่งสามารถชอนไชออกจากก้นของกระถางได้ดี
มีความสามารถในการอุ้มน้ำ และการระบายความร้อนของกระถางอยู่ในระดับดี
และเมื่อฝังกระถางลงในดินรากของกิ่งชำ ยังสามารถชอนไชออกทางด้านล่างและด้านข้างของกระถางได้ดี
อีกทั้งกระถางที่ทำจากขุยมะพร้าวนี้ ยังสามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติได้อีกด้วย


สำหรับวิธีการผลิตกระถางจากขุยมะพร้าว ประกอบด้วยส่วนผสมดังนี้
ขุยมะพร้าว 100 กรัม, ใยมะพร้าว 150 กรัม และกาวแป้งเปียก 50 กรัม ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
จากนั้นนำไปอัดด้วยเครื่องอัดไฮโดรลิก ด้วยแรงอัดที่ 10 ตัน
ซึ่งจากแรงอัดดังกล่าว จะทำให้กระถางที่ได้ออกมามีรูปทรงและลักษณะตามที่ต้องการ
และเมื่อนำไปตากแดดจะไม่เกิดรอยร้าว รวมทั้งไม่แตกที่ปากขอบกระถางด้วย
ทั้งนี้ ส่วนผสมดังกล่าวจะผลิตกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้วได้จำนวน 1 กระถาง
และหลังจากนำกระถางที่ได้ไปตากทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที เมื่อกระถางแห้งดีแล้วก็สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
โดย พงศธร บอกว่า กระถางจากขุยมะพร้าวดังกล่าวมีต้นทุนอยู่ที่ 4 บาทกว่า/กระถาง


ขั้นตอนการอัดขึ้นรูปกระถาง
ขั้นตอนการอัดขึ้นรูปกระถาง

นายพงศธร กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ได้ทำการศึกษา และทดสอบใช้กระถางที่จัดสร้างขึ้นในขั้นต้นแล้ว
ทางคณะผู้จัดทำได้นำกระถางจากขุยมะพร้าวไปทดสอบใช้จริง
ที่สวนวาสนา เลขที่ 41/2 หมู่ 11 คลอง 15 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
และได้ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในการเพาะชำกล้าไม้มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี จำนวน 10 คน
โดยเป็นเจ้าของสวนเพาะชำกล้าไม้ในพื้นที่จังหวัดนครนายก และจังหวัดปทุมธานี
ทั้งนี้ คณะผู้จัดทำได้ทำการประเมินคุณสมบัติ และคุณภาพของกระถางด้วยกันสองส่วน
คือ ทางด้านลักษณะทั่วไปของกระถาง ผลการประเมินพบว่าอยู่ในระดับดี
ส่วนคุณภาพของกระถางเมื่อนำไปใช้งานจริง ผลการประเมินก็อยู่ในระดับดีเช่นเดียวกัน

ทางด้านนางปวีณา สามเตี้ย อายุ 46 ปี เจ้าของสวนวาสนา
กล่าวต่อกรณีการนำกระถางจากขุยมะพร้าวไปทดลองใช้งาน ในการเพาะชำกล้าไม้ ว่า
หากเปรียบเทียบในเรื่องของความคงทน พลาสติกจะทนกว่าอยู่แล้ว
แต่ในเรื่องของการอุ้มน้ำกระถางจากขุยมะพร้าว สามารถอุ้มน้ำได้นานกว่า
นอกจากนี้ เวลานำต้นไม้จากกระถางไปปลูก หากใช้กระถางพลาสติกในการเพาะชำจะทำให้รากต้นไม้ขาดได้
เพราะจะต้องดึงต้นไม้ออกจากระถางก่อนนำไปปลูก แต่ในทางกลับกัน หากใช้กระถางที่ทำจากขุยมะพร้าว
สามารถนำต้นกล้าไปปลูกทั้งกระถางได้เลยโดย ไม่ต้องเสียเวลาดึงต้นกล้าออกจากกระถาง
รากต้นกล้าจึงไม่มีโอกาสที่จะขาดออกจากต้น ทำให้ต้นไม้ที่เพาะในกระถางจากขุยมะพร้าวเจริญเติบโตได้ดีกว่า

นำขุยมะพร้าวใส่แม่พิมพ์
นำขุยมะพร้าวใส่แม่พิมพ์

“การใช้กระถางที่ทำจากขุยมะพร้าวสามารถอุ้ม น้ำได้ดีกว่าและนานกว่า
สามารถรดน้ำทิ้งไว้ 2-3 วัน ค่อยกลับมารดอีกทีก็ได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเวลาไปไหนนาน 2-3 วัน
นอกจากนี้การที่รากต้นกล้าไม่ขาด ทำให้เห็นความแตกต่างในการเจริญเติบโตได้อย่างชัดเจนทีเดียว
กระถางจากขุยมะพร้าวเหมาะจึงสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลต้นไม้
และยังเหมาะสำหรับผู้ที่รับจัดสวนแบบที่ต้องใช้ต้นไม้เยอะๆ โดยจัดเป็นกลุ่มเป็นโซนตามสถานที่ต่างๆ
ซึ่งไม่ต้องดูแลรดน้ำบ่อยๆ หากสามารถลดต้นทุนให้ได้เท่ากับกระถางพลาสติกซึ่งมีราคาอยู่ที่ 3 บาท/กระถาง
เชื่อว่าเกษตรกรเจ้าของสวนเพาะชำกล้าไม้ จะหันมาใช้กระถางจากวัสดุการเกษตรแบบนี้มากขึ้นทีเดียว”
นางปวีณากล่าว

สำหรับผู้สนใจกระถางจากวัสดุการเกษตรดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ที่ ผศ.สุจิน สุนีย์ โทร.089-7653743 หรือ พงศธร หนูเล็ก โทร.089-6599509
คณะคุรุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)

กำลังเตรียมกระถางต้นไม้จากขุยมะพร้าว


จาก อาชีพแก้จน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...


ใส่ความแปลกยาหม่องน้ำ ปั้น”แฟนซี”เพิ่มมูลค่า

Pic_79826
หนึ่งใน 12 นักษัตรที่วัยเด็กยังต้องหยุดซื้อหา.

ปัจจุบันการผลิตชิ้นงาน “ทำมือ” หรือที่เรียกกันว่า “แฮนด์เมด” นั้น แม้จะดึงดูดความสนใจกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ทว่าการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในเรื่องของการ “ลอกเลียนแบบ” ที่มักออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว


ดังนั้นนอกจากต้นแบบ “ตัวแม่” จะรักษาผลิตภัณฑ์ให้มี “คุณภาพ” คงที่ ยังต้องคิดรูปแบบให้พัฒนาอยู่ตลอดเวลาควบคู่กันไป เหมือนอย่างเช่น นางสุดารัตน์  เปลี่ยนดี ชาวโกสุมร่วมใจ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เจ้าของแนวคิดผลิต “ยาหม่องน้ำ ขี้ผึ้ง ยาดมส้มซ่า แฟนซี”

นางสุดารัตน์  เปลี่ยนดี.
นางสุดารัตน์ เปลี่ยนดี.

..สุดารัตน์ บอกกับ “ทำได้ไม่จน” ว่า หลังศึกษาระดับ ปวช. คณะออกแบบอุตสาหกรรม สาขาสิ่งทอ จาก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ จบแล้วเข้าทำงานในด้านที่ตนเองถนัด กระทั่งมีครอบครัวจึงลาออกมาอยู่บ้านเพื่อดูแลลูก ช่วงนี้จึงรับเอา “ตุ๊กตาเรซิ่น” มาเพนต์สีในยามว่างอยู่พักใหญ่ แล้วผกผันมาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ของครอบครัว

แต่การทำชิ้นงานนี้ มีปัญหาในเรื่องของกลิ่นเคมี สินค้าออกมาไม่นานมักถูกลอกเลียนแบบ จึงต้องเลิกกิจการเปลี่ยนไปทำงานด้านอื่น “ล้มลุกคลุกคลาน” เรื่อยมา กระทั่งปี’48 มาลงตัวที่ “ยาหม่องน้ำขี้ผึ้ง ยาดมส้มซ่า” ที่เราเห็นคนเฒ่าคนแก่ หรือแม้แต่หนุ่ม สาว นิยมสูดดมแก้วิงเวียน เพื่อให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์คงที่ จะเลือกซื้อหาวัตถุดิบสำหรับนำมาทำ หม่องน้ำ หม่องครีม ส้มซ่า ซึ่งเธอจะผสมเองทั้งหมดตามสูตร วิธีผลิตยาสามัญประจำบ้านที่ได้ศึกษา แล้วบรรจุลงในขวดแก้วปิดฝา

การ์ตูน ที่กลุ่มวัยรุ่นชอบมากๆ.
การ์ตูน ที่กลุ่มวัยรุ่นชอบมากๆ.

…เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า สามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้า จึงลงแนวคิด “หยิบ ดัด ปั้น แต่ง” รูปแบบต่างๆ มากมายไว้บนขวดยาหม่อง ที่แม้จะใช้หมดแล้ว ก็สามารถนำมาเติมหรือเก็บไว้ประดับได้อีกด้วย…
สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ จะใช้ ดินไทยที่ดอกไม้ ประดิษฐ์ วาสลีน สี ช้อน พู่กัน มีดคว้าน และ กรรไกรเล็ก ส่วนกรรมวิธีปั้นนั้น ต้องคิดแบบก่อนแล้วจึงลงมือผสมสี ซึ่งตัวแรกที่ทำออกมาคือ “ช้าง” เป็นงานการ์ตูนง่าย จากนั้นแตกแนวคิดออกมาเรื่อยๆทั้ง หมา แมว 12 นักษัตร ของจิ๋ว การ์ตูนล้อเลียน รวมทั้ง เด็กเกาหลี ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากสุดในขณะนี้

ชิ้นงาน ที่ถูกใจกลุ่มสูงวัย.
ชิ้นงาน ที่ถูกใจกลุ่มสูงวัย.

ในส่วนขั้นตอนการปั้นนั้น ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด หากเป็น “ตุ๊กตาเกาหลี” ที่ได้รับความนิยมมากสุดในขณะนี้ จะขึ้นส่วนหัวปั้นสำหรับปิดฝาก่อน ตกแต่งตา หู ปาก ผม เสร็จแล้ว พ่นด้วยอะคีริค นำไปพักให้ดินเซตตัวประมาณ 1 คืน จึงพร้อมที่จะจำหน่าย ซึ่งตลาดรองรับชิ้นงานนั้น จะอยู่ที่ร้าน ต้นตำรับไทย ทุกสาขา

ส่วนกลุ่มลูกค้าจะเป็นวัยคนทำงาน ผู้สูงอายุ ที่หลังจากลงแนวคิด “แฟนซี” จะได้รับความสนใจจากทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งวันหนึ่งสามารถทำได้ประมาณ 50-70 ตัว ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 30-50 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบและผลิตภัณฑ์

ดินไทย ที่นิยมนำมาใช้กับงานปั้นแบบต่างๆ.
ดินไทย ที่นิยมนำมาใช้กับงานปั้นแบบต่างๆ.

เมื่อถามถึงการลงทุน สุดารัตน์บอกว่า หากคิดจากสมุนไพร ขวดแก้ว ดินไทย รวมแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 บาท สามารถผลิตได้ ประมาณ 100 ชุด หลังจากหักลบกลบทุนจะได้กำไรเฉลี่ยที่ 3,500-4,000 บาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่น่าสนใจไม่น้อยในยามนี้ ขอเพียงแค่ “มีใจรัก อดทนสนใจ ก็มีเงินใช้” อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่สนใจสัมผัสในความหลากหลาย ชิ้นงาน หรือว่าจะออกแบบเองแล้วสั่งเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เสริม สามารถกริ๊งกร๊างติดต่อสอบถามรายละเอียดกันได้ที่ 08–6515–5084 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.

เพ็ญ พิชญา เตียว
ข่าวไทยรัฐออนไลน์.

Read More...


ตุ๊กตาทำมือแฟนซี พวงกุญแจกลิ่นเครื่องหอม

Pic_82688
ตุ๊กตาพวงกุญแจเครื่องหอมด้านหน้า.

ปัจจุบันการแข่ง ขันในธุรกิจวงการสินค้าแฮนด์เมดนั้นค่อนข้างรุนแรง แต่ละวันทั้งตลาดกลุ่มผู้ผลิต กลุ่มผู้บริโภคมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาทั้งตัวสินค้า ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งการลอกเลียนแบบ ประกอบกับทางครอบครัวมีธุรกิจเล็กๆที่ทำซึ่งต้องเปิดตลาดเอง ส่งผลให้ระยะหลังคุณ สุดารัตน์ เปลี่ยนดี จึงไม่ค่อยได้มีเวลาให้ครอบครัวมากนัก น้องสาว (น.ส. พริ้วแพร แสงชมภู) จึงขันอาสาลาออกจากการงานที่ทำประจำ เพื่อมาดูแลคุณพ่อ-คุณแม่ที่แก่ชรา…

น.ส.พริ้ว แพร บอกกับ “ทำได้ ไม่จน” ว่า…ในช่วงที่ว่างๆจึงคิดหารายได้เสริมเพื่อมาช่วยจุนเจือครอบครัว สังเกตเห็นว่าทุกวันนี้สังคมกลุ่มคนทำงาน นักศึกษา วัยรุ่น นิยมเครื่องหอม เพื่อช่วยดับกลิ่น ผ่อนคลายอารมณ์ และปรับอากาศ ซึ่งจุดนี้เองจึงมานั่งคิดว่าน่าจะลองทำพวกนี้ในยามว่าง แต่ครั้นจะทำถุงการบูรขาย ทั่วๆไปทั้งตลาด หัวมุมถนนหรือแม้แต่ตามสี่แยกไฟแดงก็มีขาย

คุณสุดารัตน์ เปลี่ยนดี ผู้ช่วยออกแบบให้คุณพริ้วแพร น้องสาว  สร้างชิ้นงานเพื่อเป็นรายได้ เสริมยามว่าง.

คุณสุดารัตน์ เปลี่ยนดี ผู้ช่วยออกแบบให้คุณพริ้วแพร น้องสาว สร้างชิ้นงานเพื่อเป็นรายได้ เสริมยามว่าง.
….ราคาถูกก็จริง จึงคิดว่าน่าจะเพิ่มความแปลก ต่อยอดอะไรได้มากกว่านั้น นั่นคือการ ใส่ความคิดไอเดีย งานฝีมือ เพื่อ “เพิ่มมูลค่า” ควบคู่กัน หากกลิ่นหมดยังสามารถเติมกลับเข้าไปใหม่ กระทั่งหยุดและลงตัวที่ “ตุ๊กตาแฟนซี” ที่เน้นความทันสมัย เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งหลังจาก กลิ่นจางลง สามารถนำไปใช้เป็นที่ห้อยพวงกุญแจหรือแขวนกระเป๋า

…แต่บางคนไม่ชอบ กลิ่นการบูร จึงเพิ่มแนวทางเลือกด้วยการทำกลิ่นน้ำหอม กลิ่นดอกไม้ไทยสามารถเติมกลิ่นได้ ตลอด ซึ่งในแต่ละชุดจะมีขวดน้ำหอมรีฟิลล์ไว้สำหรับเติมหากกลิ่นเริ่มจาง…
สำหรับ อุปกรณ์ ประกอบด้วย ถ้วยขนมใสเป็นกล่องบรรจุ นอก จากเพิ่มความแปลกใหม่ ยังทำให้ต้นทุนไม่สูงมากนัก สายหนัง ไหมพรม กระ-ดุมต่างๆสำหรับใช้ตกแต่ง ลูกตาสัตว์ ใยโพลีเอสเตอร์ ผ้าใยบัว ผ้าสักหลาด สำหรับ

ทำตัวเสื้อ การบูร หัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆ เข็มเย็บไหมพรม
ส่วนการทำนั้นแสนจะง่าย ต้องการออกแบบหน้าตาก่อน ซึ่งปัจจุบันเทรนด์หัวโต แบบเกาหลียังได้รับความนิยมอยู่ ดังนั้น หน้าตาจึงเน้นแบบน่ารักแอ๊บแบ๊ว น่าเกลียด ขำๆ ขั้นแรกเริ่มขึ้นส่วนหัว โดยใช้ผ้าใยบัวเป็นผิวหน้ายัดด้วยโพลีเอสเตอร์ ใส่การบูรไว้บริเวณกลาง นอกจากป้องกันไม่ให้การ-บูรไหลยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

ทรงผมเกาหลีที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นชื่นชอบและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ .

ทรง ผมเกาหลีที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นชื่นชอบและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้.
…เย็บปิดตกแต่งให้เป็นก้อนกลมๆ จากนั้นขึ้นส่วนตกแต่งหน้าตา ปาก มาถึงการออกแบบทรงผม ใช้ดินสอขีดทำรอยเพื่อให้เย็บง่ายขึ้น ซึ่งจะ ใช้ไหมพรมที่ต้องขึ้นทีละเส้นอย่างละเอียดเป็นระเบียบประณีต ทำเป็นทรงเกล้ามวย ถักเปีย ฯลฯ ติดตกแต่งด้วยเม็ดกระดุม ดอกไม้เล็กๆ เสร็จแล้วมาเย็บตัวด้วยผ้าสักหลาด สำหรับเก็บจุกที่เย็บส่วนหัวแล้วใช้ไหมพรมตัดเป็นเส้นสั้นๆนำมาตกแต่งเป็น ส่วนแขนกับขา
เมื่อถามถึงการลงทุน…พริ้วแพร บอกว่า ต่อตัวอยู่ที่ประมาณ 25-30 บาท หลังทำเสร็จแล้วราคาจะอยู่ที่ 65-90 บาท ส่วนอายุการใช้งานหากเปิดกล่องแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 1 เดือน หากเป็นประเภทน้ำหอม หลังหมด กลิ่นแล้วสามารถหยดเติมเพื่อนำกลับมาใช้ได้อีก ส่วนตุ๊กตาการบูรหลังหมดกลิ่นนำกลับมาใช้เป็นเครื่อง ประดับตกแต่งได้

…ใคร ที่สนใจสามารถซื้อหากันได้ที่ตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม หรือกริ๊งกร๊างสอบถามกันได้ที่ โทร.08-0555-3654 ในวันเวลาที่เหมาะสม…

อย่าง นี้กระมังที่โบราณว่า ถ้าขยันซะอย่างอยู่ที่ไหนก็ไม่จนเงินใช้อย่างแน่นอน!!…

เพ็ญพิชญา เตียว
ข่าวไทยรัฐออนไลน์.

Read More...


มหัศจรรย์ “ดินสอพอง” จากแป้งผัดหน้า เป็นตุ๊กตาลิง

Pic_103150
ศิลปะแม่ไม้มวยไทยลิง ที่ใช้ดินสอพองปั้น.

ปัจจุบัน การวิจัยไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเฉพาะในห้องปฏิบัติการหรือห้องแล็บเท่านั้น แต่สามารถทำได้ทั่วไป โดยเฉพาะด้านการ “เพิ่มมูลค่า” ที่นับวันจะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น อย่างการนำ “ดิน สอพอง” มาพัฒนาต่อยอด กระทั่งสามารถ “ขึ้นรูปปั้น” ให้ออกมาเป็นชิ้นงานต่างๆได้

…รศ.ดร .นันทนา แจ้งสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี บอกกับ “ทำได้ ไม่จน” ว่า…ดินสอพองซึ่งแหล่งใหญ่พบมากในแถบจังหวัดลพบุรี ซึ่งในอดีตคนโบราณจะนำดินชนิดนี้มาเป็นเครื่องประทินโฉม “แตะเติมเสริมแต่ง” ใบหน้าให้
ดูดีมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม

แม้กระบวนการขั้นตอน “สตุ” เพื่อทำให้ดินสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจติดมาจะยุ่งยากและใช้เวลามากเพียงใด การซื้อขายต่อกิโลฯ นั้นมีมูลค่าเพียงไม่กี่สิบบาท แม้กลุ่มแม่บ้านจะได้คิดสารพัดสูตรผสมเพื่อให้มูลค่าในตัวของดินสอพองเพิ่ม ขึ้นแต่ก็ไม่ได้ มากมายเท่าใดนัก เพื่อเป็นทางเลือกอีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่า จึงทำโครงการ “มหัศจรรย์ดินสอพอง” ขึ้น กระทั่งสามารถนำมาใช้ทดแทน “ดินญี่ปุ่น” สำหรับใช้ขึ้นรูปปั้นทำ เครื่องประดับ โคลนพอกหน้า แป้งฝุ่นผัดหน้า ครีมขัดโลหะ งานประติมากรรม ศิลปะแม่ไม้มวยไทยลิงสอพอง และอีก มากมายหลากหลาย อาศัยเพียงไอเดียความคิดของแต่ละบุคคล

รศ.ดร.นันทนา แจ้งสุวรรณ์ (ซ้าย) และนางสุนันทา สมพงศ์ ผอ. ภารกิจโครงการฯ จาก วช.ที่คอยให้คำแนะนำ.

….อาจารย์ อรุณี เจริญทรัพย์ บอกว่า ดินปั้น สูตรดินสอพองสามารถสร้างงานประติมากรรมไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความยืดหยุ่น ทนทาน สามารถลงรายละเอียดชิ้นงานได้ดี มีความคงตัวและแห้งไวโดยไม่ต้องใช้ความร้อน สามารถนำไปใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรมไทยได้อย่างหลากหลาย เช่น บุษบก ตู้พระธรรม ฐานพระพุทธรูป คันฉ่อง หัวโขน…

สำหรับกรรมวิธีขบวนการ ต่างๆนั้น รศ.ดร.นันทนา บอกว่า เริ่มจากนำดินสอพองมาสตุ แล้วนำไปร่อนกระทั่งเนื้อดินมีความละเอียดได้อนุภาค 75 ไมคอน จากนั้นนำไปผสมกับ กาวลาเท็กซ์ แป้งข้าวเหนียว ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวประสาน เจลโอลีน (ดินขาว) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปเคี่ยวที่ไฟอ่อนกระทั่งเนื้อเข้ากัน จะได้เนื้อดินที่มีสีตุ่นๆ นำใส่ไว้ในถุงสุญญากาศซึ่งจะเก็บไว้นานประมาณ 6 เดือน

ดินสอพองที่พบเห็นทั่วไป.

…ส่วนการปั้นขึ้นรูป “ลิงสอพอง” ซึ่งเป็นการแสดงเอกลักษณ์ของจังหวัดลพบุรี โดยขั้นแรกต้องออกแบบลักษณะท่าทางลิงจากศิลปะแม่ไม้มวยไทย อันมีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามพร้อมทั้งสร้างรูปแบบให้มีความแปลกใหม่ อันเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประเภทของที่ระลึก นำดินฯ มาผสมสีน้ำตาลเพื่อทำตัว และสีเหลืองสำหรับตกแต่งรายละเอียด

จากนั้น ให้ ขึ้นรูปส่วนที่เป็นตัว ก่อน แล้วจึงปั้นส่วนต่างๆทั้ง หัวลิง แขน ขา และ หาง เสร็จแล้ว ใช้ไม้จิ้มฟันดามส่วนต่างๆ ให้ติดกัน นำสีเหลืองมาตกแต่งรายละเอียดแล้วขึ้นฐานไม้ที่เตรียมไว้ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ชิ้นงานจะแห้งมีความมันวาว ในตัวโดยที่ไม่ต้องนำไปเผาไฟ ซึ่งนอกจากเป็นการประหยัดต้นทุนแล้วยังเป็นการช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย

ครอบครัววานร เอกลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลพบุรี.

“ที่ผ่าน มาทางสถาบันฯ ได้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ขบวนการต่างๆให้กับกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ไปแล้ว 5-6 รุ่น ส่งผลให้หลายคนมีรายได้ จากชิ้นงานปั้นในแต่ละเดือนเฉลี่ย 8,000-10,000 บาท”

สำหรับใครที่สนใจเรียนรู้ ไปพบกันได้ที่งาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2553″ (Thai- land Reseach Expo 2010) ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์   เซ็นทรัลเวิลด์   ราชประสงค์  กรุงเทพฯ  ตั้งแต่วันที่ 26-30  สิงหาคม  หรือกริ๊งกร๊างสอบถามได้ที่  โทร.0-3661-1201 ในวันและเวลาราชการ.
เพ็ญพิชญา เตียว

Read More...


คัพเค้กผ้าขนหนู กินไม่ได้..แต่ทำเงิน!!




หยิบ จับดัดแปลงและปรับใช้ ยังเป็นหัวข้อสำคัญที่ผู้มีอาชีพงานประดิษฐ์ยังต้องทำความเข้าใจและใส่ใจใน รายละเอียดอยู่ ซึ่งหากเข้าใจก็สามารถนำไปใช้คิดสินค้าใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างความแตกต่าง สร้างสรรค์จุดขายได้อย่างดี อย่างเช่นงาน ’คัพเค้กผ้าขนหนู“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...

“จิระวดี วันจันทร์ศิริ” เจ้าของงานไอเดียแปลกแหวกแนว เล่าว่า เรียนจบทางด้านศิลปกรรมมานาน แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้วิชา จนต่อมาต้องแต่งงานจึงคิดหาของที่ระลึก-ของชำร่วยเพื่อแจกให้แขกในงานแต่ง งานของตนเอง เนื่องจากอยากได้ของที่ระลึก ของชำร่วยที่ตรงกับที่ตนเองต้องการ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมาก จึงติดใจในรูปแบบและความน่ารักของขนมเค้ก โดยเฉพาะ “คัพเค้ก” เค้กที่มีลักษณะเป็นถ้วย ๆ จึงพยายามคิดดัดแปลงและทำจนสำเร็จ ปรากฏว่าเพื่อนฝูงและคนสนิทชอบ และมาติดต่อให้ช่วยทำ “คัพเค้กผ้าขนหนู” เพื่อจะนำไปเป็นของชำร่วย จึงคิดว่าน่าจะพัฒนาและต่อยอดทำเป็นอาชีพได้ จึงทำจำหน่ายเรื่อยมา โดยทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี

“เริ่มแรกไม่ได้ทำขาย ทำไว้สำหรับแจกในงานแต่งงานของตัวเองเท่านั้น ปรากฏว่าแขกที่มาร่วมงานชอบ ต่อมาก็เลยมีการติดต่อให้ช่วยทำ จากจุดนั้นก็ขยายวงกว้างออกมาเรื่อย ๆ จนยึดทำเป็นอาชีพในปัจจุบัน” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

สำหรับแรงบันดาลใจและไอเดีย จิระวดีขยายว่า นอกจากจะเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมากแล้ว ยังชอบที่รูปทรงกับสีสันของภาชนะที่นำมาใส่หรือจัดวางเค้กอีกด้วย เนื่องจากมีสีสันและรูปทรงที่หลากหลาย น่ารัก จึงคิดว่าหากนำวัสดุที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ อย่าง “ผ้าขนหนู” ผืนเล็ก ๆ นำมาประดิษฐ์ให้แทนเนื้อเค้กจริง ๆ ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี และสร้างความแตกต่างจากสินค้าประเภทของชำร่วยที่มีอยู่ในตลาดได้ จึงเกิดเป็น “คัพเค้กผ้าขนหนู” อย่างที่เห็น โดยใช้ชื่อสินค้าว่า “ต้นกล้า” และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ http://tonklafavors.weloveshopping.com ซึ่งปัจจุบันมีทั้งลูกค้าตรง คือคู่วิวาห์ และลูกค้าที่เป็นบริษัทรับจัดงานแต่งงาน รวมถึงลูกค้าที่มารับสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายอีกต่อหนึ่ง...

“ตลาดตอนนี้ถือว่าไปได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คนไทยนิยมจัดงานแต่งงาน อาทิ ช่วงปลายปี โดยลูกค้าจะมีหลากหลายกลุ่ม แต่ที่เห็นชัดเจนคือลูกค้าคู่วิวาห์จะมีเพิ่มมากขึ้นจากแต่ก่อน อาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป และลูกค้าปัจจุบันต้องการของชำร่วยที่แตกต่างออกไปจากสินค้าทั่ว ๆ ไปที่มีอยู่ในตลาด”

รูปแบบของ “คัพเค้กผ้าขนหนู” นั้น ปัจจุบันมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 40 แบบ และยังสามารถต่อยอดพัฒนางานออกไปได้อีกเรื่อย ๆ โดยสินค้าที่ลูกค้านิยมส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบอย่าง ขนมคัพเค้ก, เค้กสามเหลี่ยม, แยมโรล เป็นต้น

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้งบประมาณลงทุนราว 2,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งสินค้านั้นราคาตั้งแต่ชิ้นละ 15 บาท ไปจนถึง 200 บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ

วัสดุและอุปกรณ์ในการทำ “คัพเค้กผ้าขนหนู” หลัก ๆ ที่จำเป็น ประกอบด้วย ผ้าขนหนูสีสันต่าง ๆ, ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ สำหรับใส่เบเกอรี่, ดอกไม้ประดิษฐ์ หรือวัสดุตกแต่ง, กระดาษสา, ปืนยิงกาวซิลิโคน และเครื่องมือในงานประดิษฐ์ อาทิ กรรไกร คัตเตอร์ เข็ม-ด้าย เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากคิดแบบ โดยอาจร่างแบบลงบนกระดาษก่อน เพื่อกำหนดว่าจะเลือกใช้ผ้าขนหนูกี่ผืนต่อ 1 ชิ้นงาน จากนั้นเลือกภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะใช้ โดยเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของชิ้นงานหรือผ้าขนหนูที่จะใส่เข้าไป เมื่อเลือกและกำหนดแบบได้แล้ว เริ่มจากการนำผ้าขนหนูที่เตรียมไว้มาทำการม้วนให้ครบวงรอบ จากนั้นจึงจับจัดวางลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ โดยไม่ต้องยึดกาว แต่ต้องระวังอย่าให้ชิ้นงานหลวมหรือแน่นจนเกินไป

ขั้นตอนต่อมา นำวัสดุตกแต่งที่เตรียมไว้มาประดับลงบนผ้าขนหนูซึ่งใช้แทนเนื้อเค้ก นำปืนกาวยิงยึดติดส่วนประกอบของวัสดุตกแต่ง ส่วนการทำวิปปิ้งครีมเทียมนั้น เจ้าของชิ้นงานเผยว่า เลือกใช้กระดาษสา โดยนำมาขยำหรือจับให้เป็นก้อน ๆ คล้ายกับวิปปิ้งครีม และใช้ปืนกาวยิงเพื่อยึดติด ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“การทำมีขั้นตอนไม่มาก และไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังและความประณีตพอสมควร จุดเด่นอีกอย่างของชิ้นงานที่ผลิตขึ้นคือเรื่องรายละเอียดและคุณภาพ เพราะเราเป็นร้านเล็ก ๆ ดังนั้นเรื่องคุณภาพจึงสำคัญ เพราะจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และช่วยกันบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ร้านเราทางอ้อม” เจ้าของงานไอเดีย “คัพเค้กผ้าขนหนู” ระบุ

ใครสนใจชิ้นงาน ต้องการติดต่อเจ้าของงานไอเดีย ’คัพเค้กผ้าขนหนู“ รายนี้ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2980-0232, 08-9275-4004 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานไอเดียที่กล้าที่จะแหวกแนวสร้างความแตกต่าง จนเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ได้อย่างดี.












ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ
  
เดลินิวส์ออนไลน์

  

Read More...


ต้นโฮย่า-ต้นหัวใจ’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีวาเลนไทน์

‘ต้นโฮย่า-ต้นหัวใจ’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีวาเลนไทน์-2 ‘ต้นโฮย่า-ต้นหัวใจ’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีวาเลนไทน์-2

อาชีพขายต้นไม้ คนมักมองว่าเป็นอาชีพเกษตรที่คลุกดินคลุกฝุ่น
แต่จริงๆ แล้วอาชีพนี้ก็สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เป็นอาชีพทันสมัยได้เช่นเดียวกับอาชีพงานประดิษฐ์
ยิ่งเป็นคนช่างคิดก็ยิ่งเพิ่มมูลค่า อย่างอาชีพปลูก-ขายไม้ประดับต้นโฮย่า” หรือ “ต้นหัวใจ
ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอวันนี้...

ขจรศักดิ์ กระจ่างใส เจ้าของอาชีพปลูกต้นโฮย่าขาย เล่าว่า ทำอาชีพขายต้นไม้มานานแล้ว
โดยขายทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ รวมถึงต้นโฮย่าหรือต้นไม้ใบหัวใจที่ก็ขายมาตลอด
เพราะสามารถเพาะขายได้ตลอดทั้งปี และจะยิ่งดีในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักหรือ “วาเลนไทน์”
เนื่องจากใบโฮย่ามีลักษณะพิเศษคือมีรูปใบคล้ายรูปหัวใจ
ทำให้คนนิยมซื้อต้นไม้ชนิดนี้เพื่อนำไปเป็นของขวัญในเทศกาลนี้

เจ้าของร้านคนเดิมอธิบายว่า ต้นโฮย่าเป็นไม้เถากึ่งไม้เลื้อย โดยสายพันธุ์ที่นำมาปลูกเป็นต้นหัวใจขาย
เฉพาะใบพันธุ์ที่ปลูกเป็นสายพันธุ์ “เคอร์ริอาย” ด้วยความที่ใบมีรูปคล้ายหัวใจ
เขาจึงทดลองนำมาแยกใบนำไปปักชำลงในกระถางปลูก คล้ายกับการปลูกต้นกระบองเพชร
เมื่อนำออกวางขาย ปรากฏว่าได้รับความสนใจมากจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ดังนั้นใครที่มองว่าการปลูกต้นโฮย่าขายเป็นธุรกิจเล็กๆ ต้องคิดใหม่
เนื่องจากปีหนึ่งๆ มีชาวต่างประเทศรับไปขายต่อเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตลาดในประเทศก็ยังไปได้เรื่อยๆ

ขจรศักดิ์เองตอนนี้ก็ขายส่งให้กับร้านที่ สำเพ็งด้วย

“น่าจะเป็นเพราะความที่เป็นต้นไม้แปลก แตกต่างจากต้นไม้รูปแบบเดิมๆ
รวมทั้งใบโฮย่ายังสามารถเขียนข้อความลงไปได้ด้วย จึงเหมาะกับการนำไปให้เป็นของชำร่วยหรือของขวัญ
ทำให้ขายได้ทั้งในกลุ่มไม้ประดับ จนถึงของที่ระลึก” เจ้าของร้านคนเดิมกล่าว

และนอกจากมีหน้าร้านแล้ว ก็ยังสามารถรับงานสั่งทำพิเศษด้วย ส่วนใหญ่มักนำไปทำเป็นของชำร่วย
สำหรับแจกในงานแต่งงาน หรือเป็นของที่ระลึกแจกหรือจำหน่ายในเทศกาลต่างๆ
โดยราคาขายนั้นขจรศักดิ์บอกว่าเริ่มต้นที่ต้นละ 10 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของต้น ความสวยของใบ และภาชนะสำหรับปลูก

ทุนเบื้องต้น
เจ้าของร้านแนะนำว่า สำหรับการปลูกปริมาณน้อยๆ ใช้เงินลงทุนประมาณ 800 บาท ต่อการปลูกจำนวน 100 ต้น
ในการปลูกขายทุนวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย
ซึ่งสำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น หลักๆ ก็มี ต้นโฮย่า, เครื่องมือสำหรับปลูก (พลั่ว เสียม กรรไกรตัดตกแต่ง),
กระถาง หรือภาชนะสำหรับปลูก และดินสำเร็จรูปพร้อมปลูก (ดินผสมขุยมะพร้าว)

‘ต้นโฮย่า-ต้นหัวใจ’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีวาเลนไทน์-3

ขั้นตอนการปลูก
การขยายพันธุ์ต้นโฮย่า ทำไม่ยากคือใช้การตัดชำกิ่งของต้นโฮย่าเป็นข้อๆ
เมื่อตัดได้แล้วก็ให้นำไปปักชำลงดินปลูกที่เตรียมไว้ในกระถางได้เลย ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมในการนำมาขาย
ก็ให้นับจากช่วงเวลาหลังจากที่ปักชำกิ่งไปแล้วประมาณ 90 วันหรือ 3 เดือน
โดยการเลือกใบที่จะขายก็ให้เลือกใบที่มีลักษณะแข็งแรง และเลือกเฉพาะใบที่เป็นรูปทรงหัวใจที่สุด
ถ้าใบมีลักษณะบิดเบี้ยวถือว่าใช้ไม่ได้ ขายไม่ดี

นอกจากนี้เจ้าของร้านยังแนะนำว่า เวลาตัดใบสำหรับแยกลงกระถางให้ตัดใบติดก้านเลย
โดยตัดเฉพาะใบกับก้านใบ แต่ไม่ต้องเยอะ เพราะถ้าใบเยอะจะดูไม่สวยและจะเป็นการแย่งอาหารกันเอง
เมื่อเสร็จแล้วก่อนนำลงกระถางให้ใช้ดินผสมขุยมะพร้าวห่อก่อน จึงจะนำลงในกระถางปลูก

ที่เลือกใช้ดินผสมขุยมะพร้าว เพราะจะทำให้ต้นโฮย่าไม่แตกต้น
เพราะถ้าเลี้ยงกับดินอย่างเดียว จะทำให้ต้นโฮย่าเจริญเติบโตได้มากกว่า ซึ่งจะทำให้รูปใบไม่สวยตามต้องการ

ขจรศักดิ์บอกอีกว่า สำหรับที่สวนของเขาจะใช้วิธีปลูกลงแปลงเพาะ
โดยต้นโฮย่าเมื่อนำใบมาเลี้ยงโดยการปักชำจะอยู่ได้เป็นปีๆ หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษา

การเลี้ยงดูไม้ชนิดนี้ไม่ยุ่งยาก ถือว่าเป็นไม้ที่ทน ต้องการน้ำไม่มาก ให้น้ำเพียงสัปดาห์ละครั้งก็พอ
ซึ่งถ้าให้น้ำบ่อยรากอาจจะเน่าตายได้

ปัญหาของต้นโฮย่าก็จะมีในเรื่องของแมลงเจาะใบกับเชื้อรา
วิธีแก้คือให้ใส่ยาป้องกันเชื้อราหรือที่เรียกว่า “คาเบนดาซิม”
นอกจากนี้อาจใส่ปุ๋ยอื่นๆ อาทิ ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำที่ใช้กับกล้วยไม้เดือนละ 1 ครั้ง และใส่ปุ๋ยละลายช้า 3 เดือนครั้ง
โดยแต่ละครั้งให้ใส่ในปริมาณน้อย ๆ อย่าใส่มากเกินไป

“กำไรในการขายต้นโฮย่าถือว่าพอไปได้ ข้อดีคือลงทุนไม่มาก เมื่อปลูกแล้วดูแลดีก็จะให้ผลผลิตมาก
ดังนั้นกำไรจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคนปลูก
ที่สำคัญยิ่งทุกวันนี้มีการแข่งขันกันสูง ก็ควรต้องพยายามสอดแทรกไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้าไป
เพื่อสร้างจุดขาย” เจ้าของร้านกล่าว

ถึงแม้กระแสต้นโฮย่าจะไม่แรงเหมือนช่วงแรกๆ แต่เจ้าของร้านนี้ก็บอกว่า ตลาดก็ยังมีความต้องการอยู่
โดยเฉพาะในช่วงใกล้วันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง และถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางทำกินที่ดีในช่วงเทศกาล
ซึ่งใครสนใจติดต่อกับ ขจรศักดิ์ กระจ่างใส ก็ไปได้ที่สวนจตุจักร โครงการ 4 ล็อก 5 โทร. 08-6326-7154
ทั้งนี้ ใครอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจจะทำเป็นอาชีพ ก็ลองสอบถามกันได้โดยตรง


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


น้ำมันลูกประคบ’ สินค้าต่อยอดภูมิปัญญาไทย

‘น้ำมันลูกประคบ’ สินค้าต่อยอดภูมิปัญญาไทย-1

ลูกประคบสมุนไพร” เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาไทยที่ยังแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รักสุขภาพ
ซึ่งวันนี้ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกประคบสมุนไพรมานำเสนอ
นั่นก็คือ “น้ำมันลูกประคบ” ที่สร้างรายได้ให้ผู้ผลิตได้อย่างน่าสนใจ...

สันติ แฉล้ม อายุ 40 ปี ประธานชมรมสมุนไพรไทยบ้านวัดถั่ว และเจ้าของคลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย
ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องหอมไทย “ทิพย์เกสร” เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นทายาทผู้รับช่วงรุ่นที่ 3 ของคุณตามิ่ง
(หมอมิ่ง แนบเนียน) แสงสีทอง แพทย์แผนโบราณแห่งลุ่มน้ำสุพรรณบุรี ซึ่งได้นำความรู้แพทย์แผนปัจจุบัน
มาประยุกต์กับสมุนไพร เพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ โดยการสกัดน้ำมันจากลูกประคบและหัวดองดึง
แล้วทำเป็น “น้ำมันนวดตัว” เพื่อสะดวกในการใช้และพกพา แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของสมุนไพรลูกประคบ

“สาเหตุที่ผมเอาภูมิปัญญาดั้งเดิมมาแปรรูป
เพราะแม้คนยุคปัจจุบันก็หันมาให้ความสนใจลูกประคบสมุนไพรกันมาก แต่ความนิยมยังน้อยอยู่
เพราะเกิดความยุ่งยากในขั้นตอนการประคบ ซึ่งต้องใช้เวลาในการนึ่งเป็นวันๆ ใช้ได้ 1-2 วันก็ต้องทิ้ง
เพราะเป็นเชื้อรา ผมก็เลยคิดเอาคุณค่าสมุนไพรในลูกประคบมาประยุกต์สกัดเป็นน้ำมัน เพื่อสะดวกในการใช้
และพกพา และเป็นได้ทั้งของขวัญของฝากที่มีประโยชน์ ใช้สำหรับถวายพระสงฆ์ มอบให้ผู้สูงวัย
ผู้ที่ใช้สมองเคร่งเครียดกับการทำงาน จนรู้สึกปวดต้นคอ
หรือผู้ที่ทำงานหนัก นักกีฬา มีติดตัวไว้สำหรับทา ถู นวด เพื่อช่วยให้ร่างกายเกิดความรู้สึกสดชื่น เบากาย”

ที่คลินิกของสันติยังมีผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้านอีกหลายชนิด เช่น เครื่องหอมสมุนไพรทิพย์เกสร,
ยาหม่องสมุนไพร, น้ำหอมสมุนไพร, ยาหอมบำรุงหัวใจ, รางจืด, เบญจธาตุยาลมขึ้นเบื้องสูง ฯลฯ

สำหรับการทำน้ำมันนวดตัวลูกประคบ อุปกรณ์ที่ใช้หลักๆ ก็มี...
เตาแก๊ส, กระทะ, ถังสเตนเลสขนาดใหญ่, ทัพพี, ผ้าขาวบาง, ไม้พาย, เขียง, มีด, กระด้ง, เครื่องชั่ง, ตะแกรง,
ถ้วยตวง, ครกสำหรับตำ, ขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกที่มีฝาปิดใช้ใส่ผลิตภัณฑ์
และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ที่หยิบฉวยจากในครัวเรือนได้

วัตถุดิบ-ส่วนผสมที่ใช้ในการทำน้ำมันลูกประคบ ก็มี...น้ำมันสกัดจากสมุนไพรลูกประคบ 400 กรัม,
น้ำมันระกำ 150 กรัม, ทิงเจอร์ดองดึง 100 กรัม, เกล็ดสะระแหน่ (เมนทอล) 100 กรัม, การบูร 70 กรัม,
พิมเสน 120 กรัม, น้ำมันยูคาลิปตัส 120 กรัม, น้ำมันเปปเปอร์มินต์ 100 กรัม, กานพลู 60 กรัม,
น้ำมันอบเชย 40 กรัม, น้ำมันเขียว 40 กรัม และไวท์ออยล์ 100 กรัม

ขั้นตอนแรกต้องทำน้ำมันสกัดจากสมุนไพรในลูกประคบก่อน สมุนไพรในลูกประคบประกอบด้วย...
หัวไพลสด 1 กก., ว่านม้าสด 500 กรัม, ว่านนางคำสด 100 กรัม, เถาวัลย์เปรียง สด/แห้ง 100 กรัม,
ตะไคร้สด 100 กรัม, เถาเอ็นอ่อน สด/แห้ง 100 กรัม, ข่าสด 100 กรัม, เถาโคคลาน สด/แห้ง 100 กรัม,
ผักเสี้ยนผีสด 100 กรัม, ขมิ้นอ้อยสด 100 กรัม, ผิวมะกรูดสด 100 กรัม, ใบส้มป่อย 100 กรัม,
น้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าว 3 ลิตร

‘น้ำมันลูกประคบ’ สินค้าต่อยอดภูมิปัญญาไทย-2

วิธีทำ นำสมุนไพรที่เตรียมไว้มาทำความสะอาดให้เรียบร้อย
จากนั้นก็นำตะไคร้ หัวไพล ผิวมะกรูด และขมิ้นอ้อย มาหั่นหรือสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ตำหยาบๆ พอแตก
เสร็จแล้วก็นำมาคลุกเคล้ากับสมุนไพรที่เหลือทั้งหมด
ก่อนจะนำสมุนไพรทั้งหมดลงไปทอดในน้ำมันงาด้วยไฟอ่อนๆ จนสมุนไพรทั้งหมดเหลือง กรอบดี
(ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง) นำขึ้น ปล่อยให้เย็น แล้วจึงกรองเอาแต่น้ำมันเตรียมไว้เป็นส่วนผสมของยาต่อไป

ต่อไปทำทิงเจอร์สมุนไพรดองดึง วัตถุดิบที่ใช้ก็มี หัวดองดึงสด (หัวขวาน) 1 กก. นำมาตำให้ละเอียด
นำลงแช่ในเหล้าโรง 40 ดีกรี จำนวน 3 ขวดกลม เป็นเวลา 15-30 วัน
แล้วจึงกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้เป็นส่วนผสมของยาต่อไป

ขั้นตอนสุดท้ายในการทำ “น้ำมันลูกประคบ” เมื่อเตรียมส่วนผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ให้นำส่วนผสมหรือวัตถุดิบดังกล่าวทั้งหมดใส่รวมกันในถังสเตนเลส ทิ้งไว้ประมาณ 2 วันก็ใช้ได้
แต่ก่อนใช้ต้องทำการกรองเอาแต่น้ำมันมาใช้ บรรจุใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

จากสูตรที่ว่ามาข้างต้น สามารถทำน้ำมันลูกประคบออกมาได้ในปริมาณ 1,000 กรัม (1 กก.)
บรรจุขวดโดยราคาขาย ขวดใหญ่ 50 ซีซี 150 บาท ขวดเล็ก 22 ซีซี 80 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 50%

ใครสนใจ “น้ำมันลูกประคบ” ต้องการซื้อไปใช้ หรือเป็นตัวแทนจำหน่าย
ติดต่อคุณสันติได้ที่ 113/2 หมู่ 1 บ้านวัดถั่ว ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี 72140
โทร. 0-3558-1967, 0-3558-1909 หรือที่มือถือ 08-5384-4965
ซึ่งเจ้าของ “ช่องทางทำกิน” รายนี้ก็เป็นกรณีศึกษาการต่อยอดภูมิปัญญาไทยที่น่าสนใจ.


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


หัตถศิลป์กะลา’ สร้างงานทำเงินได้เกินคาด

‘หัตถศิลป์กะลา’ สร้างงานทำเงินได้เกินคาด-1

งานประดิษฐ์นั้น หากประณีตถึงขั้นงานออกมาสวยงามและมีความคิดสร้างสรรค์
ประดิษฐ์งานออกมาให้มีจุดเด่นเฉพาะชิ้นงานก็จะได้รับความนิยม
ซึ่งแม้แต่การใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในพื้นที่ ต้นทุนไม่สูง ก็สามารถสร้างรายได้ได้งามเกินคาด
อย่าง “งานกะลามะพร้าว” ที่ “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

จำรูญ ตาเหยบ ประธานกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารา จ.สตูล
กลุ่มอาชีพที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้การสนับสนุน เล่าว่า
จากการที่ต้องการจะอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล สัตว์ประจำท้องถิ่น จึงได้มีการทำรูปจำลองของเต่าทะเลขึ้น
มาจาก “เศษกะลามะพร้าว” ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากในท้องถิ่น
เพื่อใช้ในการรณรงค์โครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ต่อมาก็ได้กลายเป็นอาชีพ

จากการทำเพื่อเป็นการรณรงค์อนุรักษ์เต่าทะเล
ก็เกิดเป็นแนวคิดสร้างสรรค์ในการนำเอาเศษวัสดุจำพวกกะลามะพร้าว เศษไม้ ที่หาได้ไม่ยากในท้องถิ่น
มาทำการต่อยอด ผลิตเป็นงานหัตถกรรมจากวัสดุธรรมชาติ
สามารถนำออกจำหน่ายเป็นการหารายได้เสริมให้กับคนในชุมชน

“แนวคิดหลักของกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารา คือความต้องการให้ชาวบ้านได้มีอาชีพใหม่ๆ
และหลากหลาย สำหรับเป็นอาชีพเสริม นอกจากการออกทะเลทำประมง” ประธานกลุ่มฯ กล่าว

ในปี 2546 ชาวบ้านในท้องถิ่นนี้ ทั้งกลุ่มสตรีในหมู่บ้าน กลุ่มเด็กวัยรุ่นและเยาวชน
รวมถึงคนที่กำลังว่างงาน ไม่มีงานทำ ได้มารวมกลุ่มกัน
จากนั้นก็ได้ก่อตั้งเป็นชมรมหัตถศิลป์พื้นบ้าน ปากบาราขึ้นมา

“การที่กลุ่มของพวกเราใช้วัสดุที่หาได้ในพื้นที่ในท้องถิ่น มาใช้ในการผลิตสินค้า จึงไม่ต้องลงทุนสูง
รวมทั้งสินค้าของพวก เราก็มีจุดเด่นไม่ซ้ำใคร ไม่มีใครเหมือน ทำให้มีคู่แข่งทางการตลาดไม่มาก
อีกทั้งเรายังรับทำตามออร์เดอร์ที่ลูกค้าออกแบบมาให้ด้วย สินค้าของพวกเราจึงได้รับความนิยม”

จำรูญบอกว่า ลูกค้าที่สั่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกะลามะพร้าวนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทด้านออกแบบและตกแต่งอาคาร ทั้งในและต่างประเทศ
โดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้จะเป็นผู้ที่คิดและออกแบบงานมาให้ชาวบ้าน
จากนั้นทางชมรมก็จะผลิตสินค้าให้ออกมาเหมือนแบบที่ลูกค้าต้องการ

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานหัตถกรรมจากกะลามะพร้าว หลักๆ มีดังนี้คือ... เครื่องขัด, เครื่องเจียร,
เครื่องตัด, กระดาษทราย, ค้อน, กาวชนิดต่าง ๆ อาทิ กาวลาเท็กซ์ กาวยาง กาวร้อน, เรซิ่น เป็นต้น

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำ นอกจากกะลามะพร้าวที่เป็นวัตถุดิบหลักแล้ว ก็เป็นพวกเศษไม้ ไม้ไผ่
‘หัตถศิลป์กะลา’ สร้างงานทำเงินได้เกินคาด-3 ‘หัตถศิลป์กะลา’ สร้างงานทำเงินได้เกินคาด-2

ในการประดิษฐ์เป็นชิ้นงาน กรณีจะทำ “กล่องใส่ทิซชูจากกะลามะพร้าว

ขั้นตอนการทำเริ่มจากการคัดเลือกกะลาที่จะนำมาทำ
ไม่ควรเลือกกะลาที่บางเกินไปหรือกะลาที่เป็น 2 ชั้น
เพราะเวลาขัดแล้วจะทำให้เป็นรูไม่สวยงาม ต้องเลือกกะลาที่มีความหนาใกล้เคียงกันทุกชิ้น
และการตัดกะลาก็ไม่ควรที่จะตัดให้เป็นชิ้นใหญ่เกินไป
เพราะกะลาชิ้นใหญ่เนื้อกะลาจะโค้ง เวลาขัดก็อาจจะเกิดรอยทะลุได้


หลังจากเลือกกะลาได้แล้ว ก็นำไป
ตากแดดประมาณ 2 วัน เพื่อให้น้ำมันจากกะลาแห้ง
ก็จะได้เนื้อกะลาที่แห้งสนิท เวลาขัดเงาจะไม่มีน้ำมันเยิ้มออกมา


ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการขึ้นโครงให้เป็นกล่อง ใส่ทิซชูด้วยไม้อัด
ความหนาของไม้อัดนั้นใช้ขนาดใดก็ได้ แล้วแต่ขนาดกล่องที่จะทำ นำไม้อัดมาทำการตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ
จากนั้นก็นำมาประกอบขึ้นโครงโดยใช้กาวเป็นตัวยึดให้แน่น
เมื่อได้โครงเรียบร้อยแล้ว ก็ให้นำกะลาที่เตรียมไว้มาทากาวติดลงไปบนโครงไม้

รูปทรงของกะลาที่ตัดมาติดนั้นจะตัดเป็นทรงอะไรก็ได้ แล้วแต่การออกแบบดีไซน์
โดยเวลาติดกะลาต้องเว้นช่องห่างไว้เล็กน้อย เมื่อทำการติดกะลาเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปขัดผิวให้เรียบ

ลำดับถัดมา ให้นำเรซิ่นที่เตรียมไว้มาทาเคลือบลงบนชิ้นงาน พอเรซิ่นแห้งแล้วก็นำไปขัดผิวงานให้เรียบอีกครั้ง
และขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการลงแล็กเกอร์เคลือบให้ชิ้นงานเงางาม เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวของกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารานั้น มีหลากหลาย
อาทิ รูปจำลองเต่าทะเล, กล่องใส่กระดาษทิซชู, โคมไฟปลาปักเป้า, ชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขก เป็นต้น
เรียกว่าทำได้ตั้งแต่ชิ้นงานเล็กๆ ขายในราคาชิ้นละไม่กี่ร้อยบาท
ขึ้นไปจนถึงชิ้นงานขนาดใหญ่ราคาเป็นหลักพัน-หลักหมื่นราคาของผลิตภัณฑ์ ก็ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ
และความยากง่ายในการทำชิ้นงาน
ส่วนราคาของกล่องใส่กระดาษทิซชูจากกะลามะพร้าว ที่ยกตัวอย่างวิธีทำมาข้างต้นนั้น
มีราคาอยู่ที่ชิ้นละ 500-600 บาท หรือตามแต่ขนาด
โดยต้นทุนของชิ้นงานแต่ละชิ้น รวมค่าแรงแล้วด้วย ก็จะอยู่ที่ประมาณ 80% ของราคาที่ตั้งขาย

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์งานหัตถกรรมที่ทำจากกะลามะพร้าว และเศษวัสดุจากธรรมชาติ
ต้องการจะสั่งทำชิ้นงาน สั่งซื้อไปใช้ หรือจำหน่ายต่อ
ติดต่อกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารา ที่ ธ.ก.ส.สนับสนุน ได้ที่เลขที่ 118 หมู่ 2 ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล
โทร. 0-7478-3517, 08-7294-6765

ส่วนใครพอมีฝีมือทางด้าน
หัตถกรรมก็ลองมองๆ วัสดุหาง่ายราคาถูกในท้องถิ่น
บางทีอาจจะใช้เป็นวัสดุทำเงินได้ดีเหมือนกลุ่มนี้บ้างก็ได้ !!.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 ก.พ. 2552
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

ที่มา :
http://library.dip.go.th
http://www.udclick.com

Read More...


ปลาหมอสี’ เพาะขาย...รายได้ยังสวย

‘ปลาหมอสี’ เพาะขาย...รายได้ยังสวย-1 ‘ปลาหมอสี’ เพาะขาย...รายได้ยังสวย-2

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ปลาหมอสี” เป็นปลาที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่ชอบเลี้ยงปลาสวยงามมาก
ซึ่งปัจจุบันกระแสอาจจะดูเงียบๆ แต่ธุรกิจ “เพาะพันธุ์ปลาหมอสีขาย” ก็ยังสามารถทำเงินได้ดี
เพราะตลาดต่างประเทศยังให้ความนิยมสูง โดยวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากัน...

เคน-เข็มชาติ เจริญวัฒน์อนันต์” ปกติเป็นคนที่ชอบเลี้ยงปลาสวยงาม เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ
อย่างเช่นปลากัด ปลาทอง ปลาหางนกยูง และอื่นๆ ส่วนปลาหมอสีเริ่มซื้อมาเลี้ยงเมื่อ 3-4 ปีก่อน
เพราะเห็นว่าเป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม ลวดลายแปลกตา มีเอกลักษณ์ แต่ละตัวมีลักษณะไม่ซ้ำกัน
โดยปลาตัวแรกที่ซื้อมาเป็นตัวผู้ เลี้ยงไปเลี้ยงมาสียิ่งสวย จึงลองส่งเข้าประกวดดู
แม้ในการประกวดครั้งนั้นจะไม่ได้รางวัล แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น เพราะมีคนมาทักหลายคนว่าปลามีสีสวยมาก
ถามหาว่ามีลูกมันขายไหม ทำให้มีความคิดที่จะลองหาแม่พันธ์มาผสม เพื่อเพาะพันธ์ขาย
จึงเริ่มที่จะศึกษาวิธีการเพราะเลี้ยงปลาหมอสีอย่างจริงจัง

“อย่างแรกที่จำเป็นที่สุดก็คือเราจะต้องศึกษาเรียนรู้วิธีการเลี้ยง การเพาะพันธ์ก่อน
ซึ่งสามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ อย่างผมเองก็ใช้วิธีการอ่านจากหนังสือ
และเข้าไปศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เว็บไซด์ http://www.siamcrossbreedclub.com และ http://www.fishroom.org”

เคน บอกต่อว่า สำหรับผู้ที่เพาะเลี้ยงใหม่ๆ อย่างแรกที่ต้องลงทุนสูงหน่อยก็คือตัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลา
จากนั้นก็เป็นตู้ปลา ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเยอะ อย่างเคนนั้นเริ่มจากใช้ตู้ปลาเพียงแค่ไม่กี่ตู้
พอเริ่มเพาะลูกปลาติดและสามารถหาตลาดปล่อยได้แล้ว ก็ค่อยซื้อตู้มาเพิ่ม
และตู้ปลานั้นสามารถซื้อมือสองมาใช้ก็ได้ จะสามารถประหยัดเงินทุนไปได้มากเลยทีเดียว
เพียงแต่ก่อนจะซื้อตู้มือสองต้องมีการสำรวจรอยรั่วให้ดีก่อนซื้อ

อุปกรณ์ที่จำเป็นอื่นๆ ก็เช่น...
ปั๊มน้ำขนาดพอประมาณที่สามารถใช้ได้กับปลาหลายตู้ หลอดไฟนีออน หิน ถาดดินเผา แผงกั้นปลา เป็นต้น
ส่วนอาหารก็จะใช้พวก ไรฝุ่น, ไส้เดือนน้ำ, หนอนแดง และอาหารเม็ด

เทคนิคการเพาะพันธ์ปลาหมอสี...
ขั้นแรกต้องจัดหาตู้ปลาประมาณ 30 นิ้วขึ้นไป เตรียมน้ำและนำถาดดินเผาใส่ลงไป
เพื่อไว้สำหรับให้ปลาใช้เป็นที่วางไข่ จากนั้นก็ทำการหาพ่อพันธ์และแม่พันธ์ปลาที่ต้องการผสม
โดยพ่อ-แม่พันธุ์ที่จะนำมาผสมนั้นใช้วิธีการดูตามลักษณะสีสันที่ชอบ หรือที่ตลาดต้องการ

ใส่พ่อ-แม่พันธุ์ลงในตู้เดียวกันแล้วใช้แผงกั้นทั้งสองตัวไว้ เลี้ยงดูตามปกติ
เมื่อตัวเมียพร้อมวางไข่จะสังเกตได้ว่าจะมีท่อยืดออกมาจากท้อง
จากนั้นก็เอาที่กั้นออกเพื่อให้ตัวผู้เข้าไปฉีดน้ำเชื้อใส่ไข่ปลา
‘ปลาหมอสี’ เพาะขาย...รายได้ยังสวย-3 ‘ปลาหมอสี’ เพาะขาย...รายได้ยังสวย-4
“ขั้นตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องคอยเฝ้าดูว่าตัวผู้กับตัวเมียเข้ากันได้หรือไม่
ถ้ามีการไล่กัดกันก็ให้ลองกั้นไว้อีกระยะ แล้วค่อยปล่อยให้มาหากันอีกครั้ง


หลังจากที่ตัวเมียออกไข่ใส่ลงไปในถาดดินเผาที่อยู่ในตู้ ตัวผู้ก็จะฉีดน้ำเชื้อลงไปในไข่ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ให้คอยสังเกตคือถ้าขั้นตอนเสร็จแล้ว
ตัวเมียจะกันไม่ให้ตัวผู้เข้าใกล้ถาดที่วางไข่
ก็ให้เอาถาดออกจากตู้ นำไปฟักตัวอีกตู้ที่เตรียมไว้ เป็นการกันไม่ให้พ่อพันธ์และแม่พันธ์กินไข่ของตัวเอง


จากนั้นอีกประมาณ 3 วันไข่จะฟักตัว และผ่านไปอีก 3 วันลูกปลาจะเริ่มว่ายน้ำได้ ก็ให้ไรฝุ่นเป็นอาหาร
แล้วอีกประมาณ 1 สัปดาห์เปลี่ยนอาหารเป็นไส้เดือนน้ำ เพื่อปลาจะได้โตเร็ว แข็งแรง
โดยการให้อาหารลูกปลานั้นจะต้องให้บ่อย อาหารต้องไม่ขาด มิฉะนั้นลูกปลาจะกินกันเอง

เมื่อเลี้ยงดูไปประมาณ 2 เดือน ลูกปลาก็จะมีขนาดประมาณ 2 นิ้ว
ก็ให้
คัดแยกลูกปลาที่ดูดีมีแววสวย ออกมาแยกเลี้ยงเดี่ยวด้วยอาหารเม็ด
เป็นการ “ฟอร์มปลา” ตอนขายจะได้ราคาที่สูง
ส่วนที่ไม่ได้คัดจะแยกขายเป็นตัวหรือขายยกคอกก็ว่ากันไป

ค่าอาหารในการเลี้ยงปลาต่อคอกนั้น ตกอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน ตั้งแต่เดือนที่ 2 จะเริ่มขายได้
โดย “ปลาหมอสี” จะมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว ราคาจึงตั้งตามเกรดของปลา จะไม่มีการกำหนดราคาตายตัว
มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักแสน ซึ่งเคนบอกว่าบางตัวพุ่งถึงหลักล้านก็ยังมี
แต่ของเขาเป็นปลาราคากลาง ๆ เจาะตลาดกลางลงล่าง ราคาไม่แพง ตัวละประมาณ 30-3,000 บาท
ราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ และฤดูกาล
อย่างถ้าอากาศหนาวเย็นหัววุ้นของปลาจะยุบลงบ้าง ก็ทำให้ราคาตกลง

ผู้ที่สนใจต้องการดู “ปลาหมอสี” ของเคน-เข็มชาติ ลองแวะไปดูหรือไปเลือกซื้อได้ที่หมู่บ้านสหกรณ์
ถ.สุขาภิบาล 2 กรุงเทพฯ โทร.08-1905-8001 ทั้งนี้ เคนทิ้งท้ายว่า “การเลี้ยงปลาสวยงามขายนั้น
นอกจากรายได้แล้ว ยังให้ความเพลิดเพลินและสบายใจ อยากให้หันมาลองเลี้ยงกัน”


คู่มือลงทุน...เพาะพันธุ์ปลาหมอสี
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 8,000 บาทขึ้นไป
ทุนการเลี้ยง ไม่เกิน 1,500 บาท / เดือน / คอก
รายได้ ประมาณ 20,000 บาท / เดือน
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ส่งร้านปลาสวยงาม, ตลาดส่งออก
จุดน่าสนใจ ตลาดต่างประเทศยังให้ความนิยมสูง


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0










































 
Blogger Tips and TricksLatest Tips And TricksBlogger Tricks
Do it your self,handmade,HandiCraft,งานฝีมือ,อาชีพเสริม,ช่องทางทำเงิน บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.